วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ทุกเรื่อง...เรื่องเช็ค

ในยุคปัจจุบันมีผู้คนเป็นจำนวนมากเลือกใช้วิธีการเขียนเช็คแทนวิธีการจ่ายเงินสดแบบเดิมๆ เหตุผลหลักๆ คงจะเป็นเพราะเรื่องของความสะดวกสบายที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องขนเงินสดไปคราวละมากๆเพื่อชำระหนี้ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของความไม่ปลอดภัยตามมาในท้ายที่สุด และนี่เองทำให้เช็คกลายเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการธุรกิจทุกระดับชั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงควรที่จะทำความรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เช็คเงินสด ซึ่งมีความแตกต่างจากการใช้จ่ายด้วยเงินสดธรรมดาอยู่นานัปการ มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
  • เช็คคืออะไร?
 
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ให้คำจำกัดความของเช็คไว้ว่า "หนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง อันเรียกว่าผู้รับเงิน"
โดยเราสามารถจำแนกคู่สัญญาออกได้ ดังนี้
1. ผู้สั่งจ่ายเช็ค (Drawer) คือเจ้าของบัญชีกระแสรายวันที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคาร ผู้เขียนสั่งจ่ายหรือออกเช็ค
2. ธนาคาร(Banker) คือธนาคารผู้รับฝากเงินประเภทกระแสรายวันที่ผู้สั่งจ่ายเช็คเปิดบัญชีไว้
3. ผู้รับเงิน(Payee) คือผู้มีสิทธิที่จะขึ้นเงินตามเช็คนั้นในฐานะผู้ทรง(Holder) ทั้งนี้ผู้ทรงอาจมีฐานะเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้รับเงินตามที่ปรากฎในเช็คนั้น หรืออาจเป็นผู้รับเงินในฐานะ ผู้รับสลักหลัง หรือในฐานะผู้ถือได้
  • องค์ประกอบของเช็ค
1. มีคำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค หมายถึง หลักฐานที่ืแสดงว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นเช็คของธนาคารจริงๆ เช่น มีตัวหนังสือระบุว่าเป็นเช็คเลขที่ 956351 เป็นต้น
2. คำสั่งซึ่งให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอนโดยไม่มีเงื่อนไขในการใช้เงิน นั่นหมายถึง จำนวนเงินที่เขียนหรือพิมพ์เป็นทั้งตัวเลขและตัวหนังสือนั่นเอง

3. ชื่อหรือยี่ห้อของสำนักธนาคาร
4. ชื่อหรือบริษัทของผู้รับเงิน
5. ลายมือชื่อ (ลายเซ็น) ของผู้สั่งจ่าย
6. สถานที่ใช้เงิน
7. วัน เดือน ปี และสถานที่ออกเช็ค
โดยจะต้องมีการเขียนหรือพิมพ์กรอกในรายละเอียดตั้งแต่ข้อที่ 1 - 5 ครบถูกต้องสมบูรณ์ทุกข้อห้ามผิดพลาดโดยเด็ดขาดมิเช่นนั้นเช็คใบดังกล่าวจะเสียและถือว่าเป็นโมฆะทางกฎหมายโดยทันที ส่วนข้อที่ 6 นั้นสามารถเว้นว่างเอาไว้ได้โดยกฎหมายจะให้ถือว่าเป็นเช็คออก ณ ที่อยู่ (ภูมิลำเนา) ของผู้สั่งจ่าย สำหรับข้อที่ 7 วัน เดือน และปีนั้นถ้าเว้นว่างเอาไว้ไม่ได้กรอกรายละเอียดก็ไม่เป็นอะไรและยังถือว่าเช็คฉบับดังกล่าวยังมีผลทางกฎหมายอยู่ เพียงแต่จะยังไม่ได้รับเงินเท่านั้นเนื่องจากไม่ได้ระบุวันที่สำหรับการขึ้นเงินเอาไว้
  • ประเภทของเช็ค
กฎหมายของไทยได้กำหนดให้เช็คที่ใช้ในการพาณิชย์มี 2 รูปแบบใหญ่ๆ ดังนี้
1. เช็คผู้ถือ คือ เช็คแบบที่ผู้สั่งจ่ายจะสั่งจ่ายโดยไม่กรอกชื่อผู้รับเงินตามเช็คลงในช่องว่าง กรอกเพียงแต่จำนวนเงินทั้งตัวเลขและตัวหนังสือแล้วลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย หรือกรอกคำว่า "เงินสด" ลงในช่องว่างก็ยังมีผลเป็นเช็คผู้ถือเช่นเดียวกันหรือถ้ากรอกชื่อ...นามสกุล...ผู้รับเงินลงไปในช่องว่าง โดยไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกก็ยังถือเป็นเช็คผู้ถือเช่นเดียวกัน (กรณีนี้จ่ายให้กับผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในเช็ค หรือผู้ถือก็ได้) เช็คประเภทนี้สามารถโอนเปลี่ยนมือกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กัน เช็คก็จะมีผลทางกฎหมายทันที
2.เช็คจ่ายตามคำสั่ง คือ เช็คที่ธนาคารได้ออกแบบโดยมีสาระสำคัญอยู่ที่ช่องว่างที่ให้ระบุชื่อผู้รับเงิน คือต้องเขียนชื่อนามสกุล ของผู้รับเงินลงในช่องว่างมิฉะนั้นจะไม่สมบูรณ์ ธนาคารก็จะปฏิเสธการจ่าย การโอนเปลี่ยนมือเช็คจ่ายตามคำสั่ง สามารถทำได้ด้วยการที่ผู้ทรงเช็คสลักหลังแล้วส่งมอบ ซึ่งเพิ่มระดับความปลอดภัยมากกว่าเช็คผู้ถือ 
*การเติมคำว่า "ห้ามเปลี่ยนมือ" ทำได้เฉพาะกับเช็คตามคำสั่ง หรือเช็คผู้ถือที่ระบุชื่อ นามสกุลผู้รับเงิน แล้วให้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ใช่บุคคลที่ถูกระบุชื่อ นามสกุลเป็นผู้รับเงินที่ด้านหน้าเช็คแล้ว ,มิฉะนั้นธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายทันที
นอกจากนี้สำหรับในประเทศไทยของเรายังมีการแบ่งเช็คลงไปในรายละเอียดปลีกย่อยที่ลึกขึ้นอีก โดยมีการแบ่งเช็คออกเป็นทั้งหมด 7 ประเภท ตามรูปแบบการใช้งานทางธุรกรรมการเงิน ดังนี้
1. เช็คเงินสด หรือผู้ถือ (Cash or Bearer’s cheque) เป็นเช็คที่ผู้ถือสามารถนำไปขึ้นเงินกับทางธนาคารได้โดยทันที แต่ถ้ายังไม่ประสงค์จะขึ้นเงินก็สามารถนำไปฝากเข้าบัญชีของตนเองได้ ถ้าจะมีการโอนเช็คไปให้แก่ผู้อื่นก็ไม่ต้องมีการเขียนสลักหลังแต่ประการใด
2. เช็คระบุชื่อผู้รับเงิน (Order’s cheque) คือเช็คที่ผู้สั่งจ่ายระบุชื่อผู้รับเงินลงไปในเช็ค ซึ่งผู้รับเงินจะต้องนำเช็คไปเบิกเงินด้วยตนเอง หรือถ้าจะโอนให้ผู้อื่นจะต้องทำการสลักหลังโดยเซ็นชื่อด้านหลังเช็คด้วย

3. เช็คของธนาคาร (Cashier’s Cheque or Treasurer’s Cheque) ธนาคารจะออกเช็คชนิดนี้ให้แก่ลูกค้าที่นำเงินสดมาซื้อเช็คกับทางธนาคาร โดยในตัวเช็คจะมีลายเซ็นของพนักงานผู้มีอำนาจในธนาคารเซ็นรับรองกำกับไว้ จึงเป็นเช็คที่ใช้ภายในพื้นที่ท้องถิ่นของธนาคารนั้นๆ จะไปใช้ต่างพื้นที่หรือซื้อดร๊าฟไม่ได้
4. เช็คที่ธนาคารรับ (Certified Cheque) ธนาคารจะรับรองเช็คชนิดนี้ก็ต่อเมื่อผู้สั่งจ่ายมีเงินอยู่ในบัญชีเพียงพอ ซึ่งทางธนาคารจะประทับตราว่า “ใช้ได้” พร้อมกับวันที่และลายเซ็นของพนักงานที่มีอำนาจรับผิดชอบจากทางธนาคารด้วย
5. เคาน์เตอร์เช็ค (Counter Cheque) เป็นเช็คของธนาคารใช้ในกรณีที่เจ้าของบัญชีต้องการใช้เงินโดยกระทันหันแต่ลืมเอาสมุดบัญชีไป ธนาคารก็จะออกเช็คชนิดพิเศษแบบนี้ให้เขียนสั่งจ่ายเงิน โดยเช็คประเภทนี้จะใช้ได้เฉพาะภายในธนาคารเท่านั้นจะโอนสลักหลังให้แก่ผู้อื่นไม่ได้
6. เช็คสำหรับผู้เดินทาง (Traveler’s Cheque) เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ไม่ต้องการที่จะพกเงินสดติดตัวไปด้วยเป็นจำนวนมากๆ ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องของความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นได้ โดยทางธนาคารจะเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้แลกซื้อเช็คชนิดได้ตามสาขาต่่างๆ
7. ดราฟธนาคาร (Banks Draft) เป็นเช็คในอีกลักษณะหนึ่งที่ทางธนาคารจะมีคำสั่งไปยังธนาคารอีกแห่งหนึ่งหรืออีกสาขาหนึ่ง ให้จ่ายเงินในจำนวนที่กำหนดไว้แก่บุคคลที่ถูกระบุชื่อไว้บนดร๊าฟ โดยดร๊าฟของธนาคารจะมีไว้เพื่อส่งเงินไปต่างพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ จึงแตกต่างจาก Cashier’s Cheque อย่างสิ้นเชิง
  • คำศัพท์สำคัญๆของเช็ค

1. เช็คขีดคร่อม คือ เช็คที่มีการขีดเส้นคู่ขนานไว้ที่มุมบนทางด้านซ้ายของเช็ค ด้วยลักษณะที่มีการลากเส้นยาวขีดข้ามจากด้านหนึ่งไปสิ้นสุดที่อีกด้านหนึ่งของหัวมุม โดยเช็คลักษณะนี้นั้นอาจจะเป็นเช็คที่ระบุชื่อหรือจะเป็นเช็คผู้ถือก็ได้ ซึ่งเช็คขีดคร่อมมีด้วยกัน 2 แบบ คือ
เช็คขีดคร่อมทั่วไป เป็นเช็คที่มีเส้นคู่ขนานปรากฎที่หัวมุมด้านซ้ายแต่เพียงอย่างเดียว โดยผู้รับเงินไม่สามารถนำเช็คไปเบิกเป็นเงินสดออกมาได้โดยทันทีเนื่องจากมีการขีดคร่อมเอาไว้ ซึ่งจำนวนเงินตามยอดที่อยู่ในเช็คนั้นจะโอนเข้าบัญชีของธนาคารที่ผู้รับนำเอาเช็คไปขึ้นแทน 
เช็คขีดคร่อมเฉพาะ หมายถึงเช็คที่มีการขีดคร่อมไว้ที่มุมบนด้านซ้ายมือเหมือนๆ กันกับเช็คขีดคร่อมธรรมดาทุกประการ แต่จะแตกต่างกันตรงที่เช็คขีดคร่อมเฉพาะมีการเขียนตัวหนังสือระบุความต้องการเป็นการเฉพาะลงไปในช่องว่างระหว่างเส้นคู่ขนานด้วยนั่นเอง โดยเช็คชนิดนี้จะมีการจ่ายเงินให้กับธนาคารที่ถูกระบุไว้ภายในเส้นคู่ขนานเท่านั้น ผู้รับเงินจึงจำเป็นที่จะต้องนำเอาเช็คไปขึ้นกับทางธนาคารที่กำหนดด้วย
เช็คขีดคร่อมทั่วไป
2. เช็คสลักหลัง คือ รูปแบบของการโอนเช็คจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง มีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่
เช็คสลักหลังระบุชื่อ คือ เช็คที่ผู้รับเงินตามที่เขียนระบุไว้ด้านหน้าของเช็คเซ็นชื่อตนเองที่ด้านหลังพร้อมทั้งเขียนระบุลงไปเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนด้วยว่าต้องการโอนเช็คดังกล่าวไปให้กับใคร 
เช็คสลักหลังลอย คือ เช็คที่ผู้รับเงินเซ็นชื่อที่เอาไว้ที่ด้านหลังเช็คแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ระบุข้อความอื่นใดที่นอกเหนือจากนี้ จึงทำให้เช็คฉบับนี้กลายเป็นเช็คผู้ถือ (ในกรณีที่ด้านหน้าเช็คไม่ได้มีการขีดคร่อม) ไปโดยทันที ใครจะนำเอาเช็คฉบับนี้ไปขึ้นเงินก็ได้
เช็คสลักหลังลอย
3. เช็คลงวันที่ล่วงหน้า คือ เช็คที่ผู้ประกอบการในแวดวงธุรกิจนิยมใช้กันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการค้ำประกันสำหรับธุรกิจประเภทที่ต้องใช้ระบบการหมุนเวียนเงินได้เป็นอย่างดี ในลักษณะที่ว่ารับสินค้ามาขายก่อนแล้วเงินค่อยตามไปทีหลัง โดยผู้จ่ายจะลงวันที่เอาไว้ล่วงหน้าซึ่งจะนานเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ผู้จ่ายจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งเช็คจะมีผลบังคับใช้และเรียกเก็บเงินจากในบัญชีจริงก็ต่อเมื่อถึงวันที่กำหนดเอาไว้ภายในเช็คเท่านั้น
4. เช็คเคลียริ่ง เป็นกระบวนการที่ธนาคารต่างๆ เรียกเก็บเช็คระหว่างกัน ซึ่งในอดีตจะต้องใช้เวลาที่นานมากประมาณ 2 - 3 วัน แต่ ณ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาขึ้นมามาก โดยการเคลียริ่งแต่ละครั้งนั้นจะกินเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง ซึ่งเวลาอาจจะน้อยกว่านี้ก็เป็นได้ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับธนาคารที่ผู้ประกอบการเลือกใช้บริการด้วย
5. เช็คคืน เป็นลักษณะของเช็คที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียว คือ เงินในบัญชีของผู้จ่ายมีไม่เพียงพอกับจำนวนตัวเลขที่ปรากฎอยู่บนเช็คนั่นเอง หรือที่เรียกกันว่า “เช็คเด้ง” ซึ่งผู้ประกอบการที่โดนเช็คประเภทนี้สามารถไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดีได้ เนื่องจากกรณีของเช็คคืนส่วนใหญ่นั้นมักจะมีความจงใจในการกระทำผิด

การจ่ายเช็คในแวดวงธุรกิจที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนั้น หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของตัวเลขที่ผู้ประกอบการกรอกลงไปในช่องว่างหรือตัวอักษรที่บรรจงเขียนในช่องของผู้รับ แต่กลับเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือในตัวผู้สั่งจ่ายมากกว่าซึ่งต้องถือว่ามีค่ามากกว่าเงินตราหลายเท่าตัว เพราะสุดท้ายแล้วเช็คที่มีอยู่ในมือของผู้ประกอบการอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็เป็นได้ ตราบใดที่ผู้สั่งจ่ายไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้รับเช็คในท้ายที่สุด
  • Credits

http://topicstock.pantip.com/social/topicstock/2009/02/U7546493/U7546493.html
http://www.junghoo.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=28539&Ntype=3
http://money.sanook.com/83490/
http://incquity.com/articles/money-talk/knowledge-cheque












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น